วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ส่งงาน น.ส ผกาพันธ์ วีแก้ว เลขที่ 36 น.ส ปัทมา ศรีประดู่ เลขที่ 31


ประวัติ  นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง มีงานเขียนทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ โดยที่ร่างกายขยับตัวไม่ได้ เขาคือ สตีเฟน ฮอว์คิง (Steven Hawking) ... วินทร์ เลียววาริณ ทำให้เราได้รู้จักเขามากขึ้น จากงานเขียน "อนุภาคที่มีวิถีชีวิตของมันเอง" ในหนังสือ "ความฝันโง่ ๆ" ซึ่งเป็นความฝันโง่ ๆ ของสตีเว่น ฮอว์คิงหมอบอกว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปีเขาอายุยี่สิบเอ็ด เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี 1963 เขาล้มลงและไม่สามารถขยับเขยื้อนกายได้ หมอบอกว่า เขาเป็นโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (หรือ ALS) ในขณะนั้นเกิดในยามสงครามที่ออซ์ฟอร์ด อังกฤษ สามร้อยปีหลังจากกาลิเลโอสิ้นชีพ ในช่วงสงคราม นาซีเยอรมันกับอังกฤษทำข้อตกลงว่า จะไม่ทิ้งระเบิดเมืองมหาวิทยาลัยของกันและกัน ออกซ์ฟอร์ดจึงมิได้รับผลกระทบของสงครามตั้งแต่เด็ก ฮอร์คิงชอบคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาเรียนได้คะแนนดีมาก สนใจเทอร์โมไดนามิกส์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และควอนตัม ฟิสิกส์ ที่บอกว่า อนุภาคแต่ละตัวมีวิถีชีวิตของมันเอง และคาดเดาไม่ได้ฮอว์คิงไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ ด้านจักรวาลวิทยา อนาคตของเขาสดใสยิ่ง หากมิใช่เพราะโรคร้ายดังกล่าว ระหว่างที่เรียนเขาพบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ เจน ไวลด์ สองปีต่อมาเขาก็ขอเธอแต่งงาน เขาถามเธอว่า จะพิจารณาแต่งงานกับคนที่มีอายุเหลือสามปีหรือไม่เธอตกลง และบอกว่า "นี่เป็นยุคมืดแห่งปรมาณู เราต่างมีอายุขัยที่สั้น"สตีเฟน ฮอว์คิง ลบล้างคำของหมอที่ตัดสินชีวิตของเขาว่า จะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปี เขาอยู่ต่อมาอีกหลายสิบปีเขาบอกว่า เขาโชคดี เขาว่าตนเองคงไม่สามารถค้นพบสิ่งสำคัญในโลกฟิสิกส์มากเท่านี้ หากมิใช่เพราะการสนับสนุนของครอบครัว
ผลงานและรางวัลหนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. ๑๙๘๘ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ติดอันดับหนังสือขายดีในซันเดย์ ไทมส์ ถึง ๒๓๗ สัปดาห์ติดต่อกัน ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นถึงสี่สิบภาษา ฉบับภาษาเยอรมันที่ข้าพเจ้าอ่านก็เป็นฉบับที่พิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ ๑๒ แล้ว
จุดเด่นของหนังสือเห็นจะเป็นว่า เขียนด้วยภาษาเข้าใจง่าย ผลจากแบบสอบถามหนึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามักจะเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักฟิสิกส์หรือ นักฟิสิกส์ที่ได้รับรางวัลโนเบล จะฉลาดกว่านักวิทยาศาสตร์สาขาอื่น แต่ความจริงแล้วน่าจะเป็นว่า นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่ ขาดความสามารถ ที่จะสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคคลทั่วไป
อ้างอิง  http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2009/07/25/entry-2

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น