วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

Johannes Diderik van der Waals


 วันเดือนปีเกิด                                    พฤศจิกายน 23, 1837 ไลเดน , เนเธอร์แลนด์
 เสียชีวิต                                                8 มีนาคม 1923  (อายุ 85) อัมสเตอร์ดัม , เนเธอร์แลนด์ 
สัญชาติ                                                 เนเธอร์แลนด์
เขตข้อมูล                                             ฟิสิกส์ 
สถาบันการศึกษา                                มหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม
โจอี้                                                         มหาวิทยาลัย Leiden 
ที่ปรึกษาปริญญาเอก                          Pieter Rijke Rijke Pieter 
นักศึกษาปริญญาเอก                          Diederik Korteweg Korteweg Diederik 
ที่รู้จักกันสำหรับ                                 สมการของรัฐ, กองกำลังระหว่างโมเลกุล
ได้รับรางวัลที่มีชื่อเสียง    รางวัลโนเบลฟิสิกส์(1910) 

โยฮันเน Diderik Van der Waals เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 1837 ใน Leyden, เนเธอร์แลนด์บุตรของ Jacobus Van der Waals และ Elisabeth van den Burg หลังจากที่จบประถมศึกษาเสร็จแล้วที่บ้านเกิดของเขาเขาก็กลายเป็นอาจารย์ แม้ว่าเขาจะไม่มีความรู้ในภาษาคลาสสิกและทำให้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้การตรวจสอบทางวิชาการที่เขายังคงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัย Leyden ในเวลาว่างของเขาในช่วง 1862-1865 ในวิธีการนี้เขาได้รับประกาศนียบัตรการสอนในวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์
ใน 1864 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นครูที่โรงเรียนมัธยมที่ดีเวนเตอร์; ในปี 1866 เขาได้ย้ายไปกรุงเฮกครั้งแรกเป็นครูและต่อมาเป็นผู้อำนวยการหนึ่งของโรงเรียนมัธยมในเมืองที่
กฎหมายใหม่โดยนักศึกษามหาวิทยาลัยในสาขาวิทยาศาสตร์ได้รับการยกเว้นจากเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการศึกษาก่อนเปิดการใช้งานคลาสสิก Van der Waals ที่จะนั่งสำหรับการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ใน 1,873 เขาได้รับปริญญาเอกของเขาสำหรับวิทยานิพนธ์สิทธิกว่า de ก๊าซ Continuïteit van den -- en Vloeistoftoestand (บนความต่อเนื่องของก๊าซและของเหลว) ซึ่งทำให้เขาได้ในครั้งเดียวในตำแหน่งสำคัญของฟิสิกส์ ในวิทยานิพนธ์นี้เขานำมาเป็น"สมการของรัฐ"กอดทั้งก๊าซและของเหลว; เขาสามารถแสดงให้เห็นว่าทั้งสองรัฐของการรวมตัวไม่เพียงผสานเข้ากับแต่ละอื่น ๆ ในลักษณะที่ต่อเนื่อง แต่ที่พวกเขาอยู่ในความเป็นจริงของเดียวกัน ธรรมชาติ ความสำคัญของข้อสรุปนี้จากกระดาษครั้งแรกมาก Van der Waals'สามารถตัดสินจากข้อสังเกตที่ทำโดย James Clerk Maxwell ในธรรมชาติ"ว่าอาจมีข้อสงสัยว่าชื่อของ Van der Waals เร็ว ๆ นี้จะอยู่ในหมู่อื่นที่ไม่มีในด้านวิทยาศาสตร์โมเลกุล "และ"แต่ก็มีผู้กำกับอย่างแน่นอนความสนใจของคนมากกว่าหนึ่งผู้ถามเพื่อการศึกษาของภาษาดัตช์ต่ำในการที่จะเขียน"(แมกซ์เวลอาจหมายถึงการพูดว่า"Low - เยอรมัน"ซึ่งจะยังไม่ถูกต้องตั้งแต่ดัตช์คือ ภาษาในสิทธิของตนเอง) ต่อมาเอกสารจำนวนมากในเรื่องนี้และที่เกี่ยวข้องมีการเผยแพร่ในการดำเนินการของพระราชเนเธอร์แลนด์ Academy of Sciences และใน Néerlandaises เก็บและพวกเขายังถูกแปลเป็​​นภาษาอื่น ๆ
เมื่อ, ในปี 1876, ที่กฎหมายใหม่เกี่ยวกับการศึกษาระดับอุดมศึกษาก่อตั้งขึ้นซึ่งการส่งเสริมการลงทุน Athenaeum Illustre เก่าของอัมสเตอร์ดัมจะมีสถานะมหาวิทยาลัย, Van der Waals ได้รับการแต่งตั้งเป็นอาจารย์แรกของฟิสิกส์ พร้อมกับ Van't Hoff และ Hugo de Vries, ผู้ศึกษาพันธุศาสตร์ที่เขาสนับสนุนให้ชื่อเสียงของมหาวิทยาลัยและยังคงซื่อสัตย์กับมันจนเกษียณของเขาทั้งๆที่เชิญล่อลวงจากที่อื่น ๆ
สาเหตุทันที Van der Waals'สนใจในเรื่องของวิทยานิพนธ์ของเขา R. Clausius'ตำราพิจารณาความร้อนเป็นปรากฏการณ์ของการเคลื่อนไหวซึ่งทำให้เขาต้องมองหาคำอธิบายสำหรับการทดลอง ต. แอนดรู'(1869) เผยให้เห็นการดำรงอยู่ของ "อุณหภูมิที่สำคัญ"ในก๊าซ มันเป็นอัจฉริยะ Van der Waals'ที่ทำให้เขาเห็นความจำเป็นของการคำนึงถึงปริมาณของโมเลกุลและกองกำลังระหว่างโมเลกุล ("Van der Waals แรง"เช่นที่พวกเขาอยู่ในขณะนี้เรียกโดยทั่วไป) ในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างความดันปริมาตรและ อุณหภูมิของก๊าซและของเหลว

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สอง -- หลังจากมาถึงที่ทำงานลำบากมาก -- ถูกตีพิมพ์ในปี 1880 เมื่อเขากำหนดในพระราชบัญญัติวิชาชีพกฎหมายของรัฐที่เกี่ยวข้อง นี้แสดงให้เห็นว่าถ้าความดันจะแสดงเป็นฟังก์ชันง่ายของความดันที่สำคัญที่มีปริมาณเป็นหนึ่งในปริมาณที่สำคัญและอุณหภูมิเป็นหนึ่งในอุณหภูมิที่สำคัญเป็นรูปแบบทั่วไปของสมการของรัฐจะได้รับซึ่งเป็นสารที่ใช้บังคับกับทุกคน ตั้งแต่สามค่าคงที่ A, B, R และในสมการที่สามารถแสดงออกได้ในปริมาณที่สำคัญของสารเฉพาะที่จะหายไป มันเป็นกฎหมายที่ทำหน้าที่เป็นคู่มือในระหว่างการทดลองซึ่งในที่สุดนำไปสู่​​การทำให้เป็นของไฮโดรเจนโดย J. Dewar ใน 1,898 และของฮีเลียมโดย H. Onnes Kamerlingh ในปี 1908 นี้ หลังที่ในปี 1913 ที่ได้รับรางวัลโนเบลสำหรับการศึกษาอุณหภูมิต่ำของเขาและการผลิตของเขาฮีเลียมเหลวที่เขียนในปี 1910"ที่ Van der Waals การศึกษา'ได้เสมอถือว่าเป็นคันมายากลสำหรับการดำเนินการทดลองและที่ห้องปฏิบัติการ Cryogenic ที่ Leyden ได้มีการพัฒนาภายใต้อิทธิพลของทฤษฎีของเขา"
สิบปีต่อมาในปี 1890, ครั้งแรกในหนังสือ"ทฤษฎีของโซลูชั่นแบบ Binary"ที่ปรากฏใน Néerlandaises Archives -- อื่นผลสัมฤทธิ์ที่ดีของ Van der Waals โดยที่เกี่ยวข้องกับสมการของเขาในรัฐที่มีกฎหมายสองของอุณหพลศาสตร์ในรูปแบบที่เสนอครั้งแรกโดย W. Gibbs ใน treatises ของเขาในความสมดุลของสารที่แตกต่างกันที่เขาสามารถจะไปถึงที่แสดงกราฟิกของสูตรทางคณิตศาสตร์ของเขาในรูปแบบของ พื้นผิวที่เขาเรียกว่า"Psi พื้นผิว"ในเกียรติของ Gibbs ที่มีการเลือก Psi ตัวอักษรกรีกเป็นสัญลักษณ์สำหรับพลังงานฟรีที่ซึ่งเขาตระหนักถึงความสำคัญสำหรับสมดุล ทฤษฎีของการผสมไบนารีที่ให้สูงขึ้นไปหลายชุดการทดลองหนึ่งในแรกที่ถูกดำเนินการโดย JP Kuenen ที่พบลักษณะของปรากฏการณ์ที่สำคัญที่คาดการณ์ได้อย่างเต็มที่โดยทฤษฎี การบรรยายเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกรวบรวมมาใน Lehrbuch der Thermodynamik (ตำราของอุณหพลศาสตร์) โดย Van der Waals และ ดร. Kohnstamm
กล่าวถึงควรที่จะทำมาจากทฤษฎีอุณหพลศาสตร์ Van der Waals'ของฝอยซึ่งอยู่ในรูปแบบพื้นฐานที่ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 1893 ในการนี​​้เขายอมรับการดำรงอยู่ของค่อยๆเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากแม้ว่าความหนาแน่นของที่ชั้นเขตแดนระหว่างของเหลวและไอ -- มุมมองที่แตกต่างจากที่ของ Gibbs ผู้สันนิษฐานว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของความหนาแน่นของของเหลวที่เป็นที่ของ ไอ ในทางตรงกันข้ามกับ Laplace ที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทฤษฎีเกี่ยวกับปรากฏการณ์เหล่านี้เป็น Van der Waals ยังจัดให้มีมุมมองที่โมเลกุลที่อยู่ในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอย่างถาวร, การทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ในบริเวณใกล้เคียงของอุณหภูมิที่สำคัญการตัดสินใจในความโปรดปรานของแนวคิด Van der Waals'
Van der Waals เป็นผู้รับของเกียรติและความแตกต่างมากมายซึ่งต่อไปนี้ควรจะกล่าวถึงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์; ได้ถูกทำให้สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมโรงแรมอิมพีเรียลของธรรมชาติของมอสโก, Royal Academy และไอริชปรัชญาสังคมอเมริกันสมาชิกที่ตรงกันของสถ​​าบัน de ฝรั่งเศสและที่ Royal Academy of Sciences ของเบอร์ลิน; สมาชิกสมทบของ Royal Academy of Sciences ของเบลเยียม; และสมาชิกต่างประเทศของสมาคมเคมีแห่งลอนดอน, National Academy of Sciences ของสหรัฐอเมริกาและของ Accademia dei Lincei ของกรุงโรม

ใน 1864, Van der Waals แต่งงาน Anna Magdalena Smit ผู้ที่เสียชีวิตในช่วงต้น เขาไม่เคยแต่งงานอีกครั้ง พวกเขามีลูกสาวสามคนและลูกชายคนหนึ่ง ลูกสาวถูกแอนน์ Madeleine ที่หลังจากการตายของต้นแม่ของเธอวิ่งในบ้านและดูหลังจากที่พ่อของเธอ Jacqueline Elisabeth, ผู้ที่เป็นครูของประวัติศาสตร์และนางกวีที่รู้จักกันดีและ Johanna Diderica, ผู้ที่เป็นครูของภาษาอังกฤษ บุตร, Johannes Diderik จูเนียร์, เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัย Groningen 1903-1908 และประสบความสำเร็จต่อมาบิดาของเขาในเก้าอี้ฟิสิกส์ของมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม
Van der Waals'นันทนาการหลักคือการเดินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศและการอ่าน เขาตายในอัมสเตอร์ดัมเมื่อ 8 มีนาคม 1923
ที่มา:http://en.wikipedia.org/wiki/Johannes_Diderik_van_der_Waals
จัดทำโดย
นางสาวธิดารัตน์      ทับทอง   เลขที่ 27
นางสาววิมลวรรณ    พลจร      เลขที่34

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

ปีแอร์ กูรี

ประวัติ
      ปิแอร์ กูรี เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1859 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยบิดาของเขาเป็นนายแพทย์ หลังจากจบการศึกษาขั้นต้นแล้ว ปิแอร์ได้เข้าศึกษาต่อวิชาเคมี ที่มหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ (Sorbonn University) หลังจากที่เขาจบการศึกษาแล้วได้เข้าฝึกงานกับคณะผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็สามารถสร้างผลงานเป็นที่น่าพอใจ และในปี ค.ศ. 1878 ปิแอร์ก็ได้รับรางวัลไซแอนซิเอท (Scienciate Award) ทางฟิสิกส์ และได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการห้องทดลองประจำมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และในระหว่างนี้เขาได้รับเชิญเป็นที่ปรึกษาในโรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรม และงานทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ

 ชีวิตส่วนตัว

       หลังจากที่ปิแอร์ได้มีโอกาสพบกับมารียา สโคลดอฟสกา ภายหลังทั้งคู้จึงได้แต่งงานกันในปี ค.ศ. 1895 โดยปิแอร์ กูรี กับมารียา สโคลดอฟสกา (มารี กูรี) มีบุตรสาวสองคน ได้แก่

 เสียชีวิต


        ในขณะที่ปิแอร์มีชื่อเสียง และประสบความสำเร็จทั้งด้านการงานและครอบครัวเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ในขณะที่เขา กำลังเดินไปยังสำนักพิมพ์ เพื่อตรวจต้นฉบับ ได้มีรถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งเข้ามาขนเขาล้มลง และทับศีรษะ ทำให้ปิแอร์เสียชีวิตทันทีในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 1906 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ผลงาน

     ในปี ค.ศ. 1880 ปิแอร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับความต่างศักย์ของไฟฟ้าระหว่างผลึกหินควอทซ์ กับเกลือโรเชลลี ภายใต้ความกดดันสูง จากผลการทดลองเขาพบว่า ความกดดันมีผลกระทบต่อความต่างศักย์ ซึ่งปิแอร์เรียกสั้นๆ ว่า "ปิแอร์โซ อิเล็กทริคซิตี้ (Pierre so Electricity)" และเขาได้พบเพิ่มเติมอีกว่า ถ้าเพิ่มค่าความต่างศักย์ของไฟฟ้าให้มากขึ้น จะทำให้พื้นผิวของผลึกเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดคลื่นเสียงที่มีความถี่สูงเกินกว่าที่คนปกติจะได้ยิน แต่ก็มีประโยชน์ เพราะต่อมา นักวิทยาศาสตร์รุ่นหลังได้นำหลักการเดียวกันนี้มาประดิษฐ์อุปกรณ์เกี่ยวกับเสียงหลายชนิดได้แก่ ไมโครโฟน และเครื่องบันทึกเสียงเป็นต้น
     ในปี ค.ศ. 1895 ปิแอร์ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับความร้อนที่เกิดขึ้นกับแม่เหล็ก จากผลการทดลองปิแอร์พบว่าที่อุณหภูมิระดับหนึ่ง แม่เหล็กไม่สามารถแสดงสมบัติออกมาได้ โดยปิแอร์เรียกอุณหภูมิระดับนี้ว่า "คูรีพอยท์ (Cury Point)" และจากการทดลองครั้งนี้ เขาได้สร้างเครื่องมือขึ้นมาชิ้นหนึ่งชื่อว่า อิเล็กโทรมิเตอร์ (Electrometer) สำหรับใช้ในการทดลองครั้งนี้ด้วย จากผลงานชิ้นนี้เขาได้รับมอบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์ และได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการประจำห้องทดลองเคมี และฟิสิกส์ประจำมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์


รางวัลที่ได้รับ
ผู้ค้นคว้าเรื่องการแผ่รังสีเทียม จนได้รับรางวัลโนเบลในปี ค.ศ. 1935[1]

ที่มา  http://th.wikipedia.org/wiki/ 

ชื่อ นางสาวธิดาศิริ    อักษรทิพย์  เลขที่ 29  ม.4/5
ชื่อ นางสาวจริยา       ชัยแป้น       เลขที่   22  ม.4/5

รอเบิร์ต แอนดรูส์ มิลลิแกน

รอเบิร์ต แอนดรูส์ มิลลิแกน (Millikan)
การทดลองของทอมสันทำให้รู้อัตราส่วนระหว่างประจุต่อมวลของอิเล็กตรอน
แต่ยังไม่สามารถรู้ขนาดของประจุไฟฟ้า
และขนาดของมวลอิเล็กตรอนได้ จนกระทั้งนักฟิกส์ชาวอเมริกัน โรเบิร์ต เอ มิลลิแกน
ได้ทดลองวัดค่าประจุไฟฟ้าของอิเล็กตรอนได้สำเร็จโดยการวัดประจุบนหยดน้ำมัน

การทดลองหยดน้ำมันของมิลลิแกน รอเบิร์ต แอนดรูส์ มิลลิแกน ได้ทดลองหาค่าประจุของอิเล็กตรอนบนหยดน้ำมัน (Oil drop experiment)  
การ ทดลองของมิลลิแกนมีวิธีดังนี้ เมื่อพ่นละอองเม็ดน้ำมันเข้าไประหว่างขั้วไฟฟ้าที่ปรับวอลเตจได้ แล้วฉายรังสีเอกซ์เข้าไปเพื่อทำให้อากาศแตกตัวให้อิเล็กตรอน เม็ดน้ำมันจะจับอิเล็กตรอนทำให้มีประจุเป็นลบ ถ้ายังไม่ต่อขั้วไฟฟ้าทั้งสองเข้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเม็ดน้ำมันจะตกลงมา ด้วยแรงโน้มถ่วง แต่เมื่อต่อขั้วไฟฟ้ากับเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเม็ดน้ำมันจะตกช้าลง ปรับค่าความต่างศักย์ให้พอเหมาะจนเม็ดน้ำมันหยุดนิ่ง แสดงว่าแรงดึงดูดเนื่องจากขั้วไฟฟ้าที่กระทำต่อหยดน้ำมันเท่ากับแรงเนื่อง จากแรงดึงดูดของโลก มิลลิแกนพบว่า ประจุบนหยดน้ำมันมีค่าเป็นเลขจำนวนเต็มคูณด้วย 1.60×10-19 คูลอมป์

รางวัล
Robert Andrew Millikan  (พ.ศ 2411-2496) ชาวอเมริกัน ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์จากการหาค่าประจุไฟฟ้า
ของอิเล็กตรอนและการทดลองที่สนับสนุนสมการโฟโตอิเล็กทริกของไอน์สไต
ที่มา    
http://www.tps.ac.th/~panya/class/physicsatom/millikan/index.htm
http://www.ponglearning.com/?p=815

                                                                                                                         น.ส. ภคพร    โอทอง
                                                                                           น.ส.เจษฎา     แลบัว

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

มารี กูรี (Marie Curie)

 
ประวัติ มารี เป็นชาวโปแลนด์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2410 ที่เมืองวอร์ซอ เขตวิสทูลา จักรวรรดิรัสเซีย ซึ่งปัจจุบันเป็นประเทศโปแลนด์  บิดาเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และมักพาเธอมาที่ห้องทดลองเสมอ จึงทำให้เธอสนใจวิชาด้านวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เด็ก แม้จะมีเหตุการณ์ทางการเมืองเมื่อรัสเซียมาปกครองโปแลนด์ และบังคับให้ใช้ภาษารัสเซียเป็นภาษาทางการก็ตาม
ในสมัยนั้นค่านิยมในสังคมของผู้หญิงส่วนใหญ่ จะต้องเรียนการเป็นแม่บ้าน ซึ่ง มารี กูรี่ แตกต่างโดยสิ้นเชิง ที่ใส่ใจค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์
หลังจบการศึกษาระดับต้นแล้ว เธอกับพี่สาวก็ทำงานด้วยการเป็นครูอนุบาล สอนหนังสือให้กับเด็กๆ แถวๆ นั้น โดยทั้งสองมุ่งหวังอยากไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แต่เงินไม่พอกับค่าใช้จ่าย เธอจึงให้พี่สาวคือ บรอนยา ไปเรียนต่อด้านแพทย์ศาสตร์ก่อน พอจบแล้วค่อยส่งเสียเธอเรียนต่อด้านวิทยาศาสตร์ต่อไป จนพี่สาวจบมาเธอก็ได้ไปเรียนต่อที่ มหาวิทยาลัยปารีส สมใจแต่ด้วยเงินอันน้อยนิดจากพี่สาว ไม่พอต่อค่าใช้จ่ายเธอจึงดิ้นรนหางานทำ จนได้เป็นผู้ช่วยในห้องปฏิบัติการทางเคมี ของ ปิแอร์ กูรี จนทั้งสองแต่งงานมีลูกด้วยกัน แต่ ปิแอร์ เสียชีวิตก่อนเพราะอุบัติเหตุรถม้าชน ระหว่างที่เรียนไปทำงานไป เธอก็มุ่งมั่นศึกษาทดลองไปเรื่อยๆ จนมาพบรังสีแร่ธาตุเรเดียมโดยได้มาจากแร่พิทช์เบลนที่เป็นออกไซต์ชนิดหนึ่งสามารถแผ่รังสีได้ จากการเพียรพยายามทดลองมาหลายปีในการสกัดแร่ชนิดต่างๆ จนมาพบรังสีดังกล่าวทำให้เธอได้รับปริญญาเอก ในการค้นพบแร่ธาตุเรเดียม
จนในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) เธอก็สามารถสกัดแร่เรเดียมให้บริสุทธิ์ได้ เรียกว่า เรเดียมคลอไรด์ ที่สามารถแผ่รังสีได้มากกว่ายูเรเนียมถึง 2,000,000 เท่า มีคุณสมบัติคือ ให้แสงสว่าง และความร้อนได้ และเมื่อแร่นี้แผ่รังสีไปถูกวัตถุอื่น วัตถุนั้นจะเปลี่ยนสภาพเป็นธาตุกัมมันตรังสี และสามารถแผ่รังสีได้เช่นเดียวกันกับแร่เรเดียม จนทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลต่อมา
มารี กูรี
การศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแร่เรเดียมอย่างหนัก และต่อเนื่องกว่า 4 ปี ทำให้เธอได้รับรางวัลโนเบลอีกครั้ง แม้สามีจะเสียชีวิตก็ตาม ด้วยกำลังใจอันล้นเปี่ยม เมื่อเกิดภาวะสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งผู้คนส่วนมากล้มตายและถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร เธอจึงอาสาสมัครเป็นอาสากาชาดเพื่อช่วยทหารที่บาดเจ็บ ในการเอกซเรย์เคลื่อนที่ตระเวนรักษาตามหน่วยต่างๆ จนสงครามสงบเธอก็กลับมาทำงาน แต่ก็ต้องล้มป่วยเพราะผลมาจากการทำงานหนัก และโดนรังสีเรเดียม ทำให้ไขกระดูกถูกทำลายและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
อนึ่ง มารี กูรี่ สามารถจดสิทธิบัตรได้ และทำให้เธอเป็นเศรษฐีได้ในพริบตา แต่เธอกลับเลือกที่จะมอบสื่งที่เธอค้นพบให้กับโลก ทำให้เธอและครอบครัวเป็นเพียงครอบครัวนักวิทยาศาสตร์จนๆ ตลอดจนเสียชีวิต
หลังการเสียชีวิตของ มารี กูรี หนึ่งในลูกสาวของเธอ ก็ได้ทำการค้นคว้างานวิจัยของเธอต่อไป จนประสบความสำเร็จได้รับรางวัลโนเบลในเวลาต่อมา
รางวัลที่ได้รับ 
ประกาศนียบัตรรางวัลโนเบลของมารี กูรี
  • รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ค.ศ. 1903 จากผลงานการพบธาตุเรเดียม
  • Davy Medal ค.ศ. 1903
  • Matteucci Medal ค.ศ. 1904
  • รางวัลโนเบลสาขาเคมี ค.ศ. 1911 จากผลงานการค้นคว้าหาประโยชน์จากธาตุเรเดียม
 อ้างอิง
ผู้จัดทำ 
1.นายนันทิพัฒน์  บุญพร้อม เลขที่ 4
2.นายภนุรักษ์  แก้วกูล เลขที่ 5

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2555

ส่งงาน น.ส ผกาพันธ์ วีแก้ว เลขที่ 36 น.ส ปัทมา ศรีประดู่ เลขที่ 31


ประวัติ  นักเขียนนวนิยายวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง มีงานเขียนทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ โดยที่ร่างกายขยับตัวไม่ได้ เขาคือ สตีเฟน ฮอว์คิง (Steven Hawking) ... วินทร์ เลียววาริณ ทำให้เราได้รู้จักเขามากขึ้น จากงานเขียน "อนุภาคที่มีวิถีชีวิตของมันเอง" ในหนังสือ "ความฝันโง่ ๆ" ซึ่งเป็นความฝันโง่ ๆ ของสตีเว่น ฮอว์คิงหมอบอกว่า เขาจะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปีเขาอายุยี่สิบเอ็ด เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ในปี 1963 เขาล้มลงและไม่สามารถขยับเขยื้อนกายได้ หมอบอกว่า เขาเป็นโรค Amyotrophic Lateral Sclerosis (หรือ ALS) ในขณะนั้นเกิดในยามสงครามที่ออซ์ฟอร์ด อังกฤษ สามร้อยปีหลังจากกาลิเลโอสิ้นชีพ ในช่วงสงคราม นาซีเยอรมันกับอังกฤษทำข้อตกลงว่า จะไม่ทิ้งระเบิดเมืองมหาวิทยาลัยของกันและกัน ออกซ์ฟอร์ดจึงมิได้รับผลกระทบของสงครามตั้งแต่เด็ก ฮอร์คิงชอบคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ เขาเรียนได้คะแนนดีมาก สนใจเทอร์โมไดนามิกส์ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ และควอนตัม ฟิสิกส์ ที่บอกว่า อนุภาคแต่ละตัวมีวิถีชีวิตของมันเอง และคาดเดาไม่ได้ฮอว์คิงไปเรียนต่อปริญญาเอกที่เคมบริดจ์ ด้านจักรวาลวิทยา อนาคตของเขาสดใสยิ่ง หากมิใช่เพราะโรคร้ายดังกล่าว ระหว่างที่เรียนเขาพบหญิงสาวคนหนึ่งชื่อ เจน ไวลด์ สองปีต่อมาเขาก็ขอเธอแต่งงาน เขาถามเธอว่า จะพิจารณาแต่งงานกับคนที่มีอายุเหลือสามปีหรือไม่เธอตกลง และบอกว่า "นี่เป็นยุคมืดแห่งปรมาณู เราต่างมีอายุขัยที่สั้น"สตีเฟน ฮอว์คิง ลบล้างคำของหมอที่ตัดสินชีวิตของเขาว่า จะอยู่ได้อีกไม่เกินสองสามปี เขาอยู่ต่อมาอีกหลายสิบปีเขาบอกว่า เขาโชคดี เขาว่าตนเองคงไม่สามารถค้นพบสิ่งสำคัญในโลกฟิสิกส์มากเท่านี้ หากมิใช่เพราะการสนับสนุนของครอบครัว
ผลงานและรางวัลหนังสือเล่มนี้พิมพ์ครั้งแรกในปีค.ศ. ๑๙๘๘ และประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ติดอันดับหนังสือขายดีในซันเดย์ ไทมส์ ถึง ๒๓๗ สัปดาห์ติดต่อกัน ได้รับการแปลเป็นภาษาอื่นถึงสี่สิบภาษา ฉบับภาษาเยอรมันที่ข้าพเจ้าอ่านก็เป็นฉบับที่พิมพ์ซ้ำเป็นครั้งที่ ๑๒ แล้ว
จุดเด่นของหนังสือเห็นจะเป็นว่า เขียนด้วยภาษาเข้าใจง่าย ผลจากแบบสอบถามหนึ่งแสดงให้เห็นว่า เรามักจะเชื่อว่านักวิทยาศาสตร์ที่เป็นนักฟิสิกส์หรือ นักฟิสิกส์ที่ได้รับรางวัลโนเบล จะฉลาดกว่านักวิทยาศาสตร์สาขาอื่น แต่ความจริงแล้วน่าจะเป็นว่า นักฟิสิกส์ส่วนใหญ่ ขาดความสามารถ ที่จะสื่อสารและถ่ายทอดความรู้ให้กับบุคคลทั่วไป
อ้างอิง  http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2009/07/25/entry-2